สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 บริเวณช่องบกและช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี ได้ทวีความรุนแรงและขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ทางการไทยต้องดำเนินมาตรการปิดด่านชายแดนทั้งหมด 18 จุด สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ โดยศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินว่าอาจสร้างมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างน้อยราว 17,000 ล้านบาทต่อเดือน ผลกระทบนี้ส่งผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ การค้าชายแดน, การท่องเที่ยว, และการลงทุน รวมถึงภาคแรงงาน

การค้าชายแดน: เส้นเลือดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
การค้าชายแดนถือเป็นกลไกสำคัญที่สุดที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปิดด่าน เนื่องจากมีสัดส่วนสูงถึง 48% ของมูลค่าการค้ารวมทั้งหมดระหว่างสองประเทศ Krungthai COMPASS ประเมินว่าการปิดด่านจะทำให้มูลค่าการค้าชายแดนหายไปราว 14,011 ล้านบาทต่อเดือน แบ่งเป็นการส่งออก 11,410 ล้านบาท และการนำเข้า 2,601 ล้านบาท
สถานการณ์นี้สวนทางกับแนวโน้มที่กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้าชายแดนมีมูลค่าสูงถึง 80,723 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้สร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อการค้าในช่วงที่เหลือของปี
- พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบสูงสุด: ด่านอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว คือพื้นที่ที่เสียหายหนักที่สุด คาดว่าได้รับผลกระทบถึง 8,663 ล้านบาทต่อเดือน เนื่องจากเป็นด่านที่มีความสำคัญทั้งการขนส่งสินค้าและการสัญจรของนักท่องเที่ยว โดยมีสัดส่วนมูลค่าการค้าสูงถึง 63.4% ของมูลค่าการค้าชายแดนทั้งหมด รองลงมาคือด่านคลองใหญ่ จังหวัดตราด (เสียหาย 2,457 ล้านบาท/เดือน) และด่านจันทบุรี (เสียหาย 2,159 ล้านบาท/เดือน)

สินค้าที่ได้รับผลกระทบ:
◦ สินค้าส่งออก: กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักคือ เครื่องดื่ม, ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์, และเครื่องยนต์สันดาปภายใน
◦ สินค้านำเข้า: กลุ่มที่น่ากังวลคือ ผักและของปรุงแต่งจากผัก โดยเฉพาะมันสำปะหลัง ซึ่งไทยนำเข้าจากกัมพูชาราว 1-2 ล้านตันต่อปี หากการปิดด่านยืดเยื้อ อาจทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทยได้ นอกจากนี้ยังมีเศษอะลูมิเนียม และลวดสายเคเบิล


ผลกระทบที่ลุกลาม: การท่องเที่ยว การลงทุน และแรงงาน นอกจากการค้าชายแดนแล้ว ผลกระทบยังขยายวงไปสู่ภาคส่วนอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ
- ภาคการท่องเที่ยว: คาดว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นราว 2,970 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ:
- รายได้จากนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาที่ลดลง คิดเป็นมูลค่าราว 1,185 ล้านบาทต่อเดือน
- รายได้ที่สูญเสียไปใน 4 จังหวัดพื้นที่ปะทะ (บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี) จากการที่นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้าไปได้ คิดเป็นมูลค่าอย่างน้อย 1,785 ล้านบาทต่อเดือน สถานการณ์ดังกล่าวยังนำไปสู่การยกเลิกการจองห้องพักสูงถึง 5,000 ห้อง และมีการสั่งปิดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย
- ภาคการลงทุน: แม้ผลกระทบในเบื้องต้นจะยังจำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ชายแดน แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อ อาจส่งผลกระทบต่อนักลงทุนไทยในกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันมีอยู่มากกว่า 100 ราย ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงคือ ธุรกิจเครื่องดื่มและค้าปลีก ผู้ประกอบการบางส่วนได้เตรียมแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan) และแผนอพยพพนักงานคนไทยไว้แล้ว


- ภาคแรงงาน: ประเทศไทยพึ่งพาแรงงานชาวกัมพูชากว่า 1 ล้านคน (เป็นแรงงานถูกกฎหมายประมาณ 5.1 แสนคน) ซึ่งกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง, ค้าส่ง-ค้าปลีก, การเกษตร และประมง โดยส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และชลบุรี หากสถานการณ์บานปลายจนมีการดึงแรงงานกลับประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานเข้มข้นได้
แนวทางรับมือและมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าสถานการณ์ครั้งนี้มีความรุนแรงกว่าเหตุการณ์กรณีปราสาทพระวิหารในปี 2554 ทั้งในแง่พื้นที่ปะทะและจำนวนผู้เสียชีวิต และได้เสนอแนวทางการบริหารความเสี่ยงสำหรับผู้ประกอบการ ดังนี้
- ระยะสั้น: ควรพิจารณาเปลี่ยนเส้นทางและรูปแบบการขนส่งสินค้า เช่น การขนส่งทางทะเลไปยังท่าเรือสีหนุวิลล์, การขนส่งทางรถไฟ หรือการขนส่งทางบกผ่านประเทศที่สามอย่างเวียดนามและลาว ซึ่งมีข้อมูลว่าผู้ประกอบการบางส่วนได้เริ่มปรับตัวเปลี่ยนเส้นทางตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุปะทะรุนแรงแล้ว
- ระยะกลาง-ยาว: หากสถานการณ์ยืดเยื้อเกินกว่า 3-12 เดือน ผู้ส่งออกจำเป็นต้องหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนหรือกระจายความเสี่ยง เนื่องจากความขัดแย้งที่ยาวนานจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเสถียรภาพตามแนวชายแดน นอกจากนี้ รัฐบาลควรพิจารณามาตรการช่วยเหลือทางการเงิน เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อเยียวยาผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่ได้รับผลกระทบ


โดยสรุป แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงแล้ว แต่การปิดด่านชายแดนยังคงดำเนินต่อไป และหากสถานการณ์ยืดเยื้อจนถึงสิ้นปี อาจทำให้มูลค่าการค้ารวมของปีนี้ลดลงจาก 3.6 แสนล้านบาท เหลือเพียง 1.9 แสนล้านบาทได้ ที่สำคัญกว่านั้น ปัญหาข้อพิพาทชายแดนซึ่งเป็นต้นตอของความขัดแย้งยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้ความเสี่ยงที่เหตุการณ์จะปะทุขึ้นอีกในอนาคตยังคงอยู่ และสร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจชายแดนในระยะยาว
[วิดีโอเจาะลึก] ใครคือผู้รับผลกระทบที่แท้จริง?
การวิเคราะห์ในบทความนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากต้องการเจาะลึกถึง ความเสียหายใน 3 มิติหลัก ของเหตุการณ์การค้าชายแดนไทย-กัมพูชาสะดุด และดูว่าธุรกิจใดบ้างที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดแบบเต็ม ๆ ชมการวิเคราะห์ฉบับสมบูรณ์ได้ในวิดีโอนี้:
ข้อมูลอ้างอิง
- “กรุงไทย” ประเมินความขัดแย้งไทย-กัมพูชา มูลค่าความเสียหาย 1.7 หมื่นล้าน/เดือน – Hoonsmart
- #ไทยกัมพูชา ทำการค้าชายแดนพังหมื่นล้าน ! | Money Trick – PPTV Wealth (YouTube)
- Krungthai COMPASS ประเมินผลกระทบจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา – ThaiPublica
- คาด! ปะทะไทย-กัมพูชา สร้างความเสียหาย 1.7 หมื่นล้านบาท! ต่อเดือน : PPTVHD36
- จับตาไทย-กัมพูชาปะทะเดือด หวั่นกระทบการค้าชายแดน ลามท่องเที่ยว ฉุดจีดีพี | Morning Wealth 25 ก.ค. 68 – THE STANDARD WEALTH (YouTube)
- เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน 050868 เรื่อง : ประเมินผลกระทบเศรษฐกิจไทย-กัมพูชา – เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน (YouTube)