
บทสรุปสำหรับผู้บริหาร (Executive Summary)
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับ พายุซ้อนพายุ ที่ซับซ้อนและคาดเดายากกว่าที่เคย การปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2568 ของ หอการค้าไทยเหลือเพียง 1.7% จากเดิม 3.0% คือสัญญาณเตือนสำคัญถึงความเสี่ยงที่รายล้อมประเทศ ทั้งปัจจัยภายนอก อาทิ วิกฤต US Government Shutdown และแรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ และปัจจัยภายในที่หนีไม่พ้นอย่างปัญหา หนี้ครัวเรือน และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ
Memag Online Podcast ได้ทำการ วิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ เพื่อถอดรหัสผลกระทบจากหลายมิติ โดยเน้นที่การเสนอแนวทางปฏิบัติให้ผู้บริหารใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเรื่อง Cash Flow และการวางแผน บริหารความเสี่ยง ในไตรมาสที่ 4 นี้
YouTube Memag Online Podcast ตอน “วิกฤต! US SHUTDOWN และหนี้ครัวเรือน ภัยคุกคามถึงไทย-กัมพูชา | เจาะลึกเศรษฐกิจ Global Economy”
Key Takeaways (นาทีที่ควรดู):
00:00 – Intro และภาพรวม “วิกฤตเศรษฐกิจโลก”
01:00 – หนี้ครัวเรือนไทย: สัญญาณอันตรายที่ฉุดรั้ง GDP และปมปัญหาการเมือง (6 นาที)วิเคราะห์ข้อมูลหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่สูงกว่า 90% และ NPL ที่เพิ่มขึ้น
05:00 – US Shutdown คืออะไร? ผลกระทบต่อการค้าและตลาดทุน (3 นาที)
08:00 – เศรษฐกิจกัมพูชา: เมื่อการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาสะดุด ใครได้รับผลกระทบมากที่สุด?
14:00 – ทางออกและข้อเสนอแนะ: 5 ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา และแนวทางที่ภาคธุรกิจควรปรับตัว
1.หนี้ครัวเรือน: ภาวะที่ ‘Debt Deleveraging’ ไม่ได้หมายถึงการฟื้นตัวที่แท้จริง

ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยยังคงเป็นความเปราะบางเชิงโครงสร้างที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจ SCB EIC ชี้ว่า แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะลดลงต่อเนื่อง (ต่ำสุดที่ 89.6% ณ ไตรมาส 2 ปี 2567) แต่กระบวนการ Debt Deleveraging รอบนี้กลับ ท้าทายขึ้น เพราะไม่ได้เกิดจากการที่รายได้ครัวเรือนเติบโต แต่เกิดจาก การอนุมัติสินเชื่อใหม่ที่ลดลง
- รายได้ไม่พอรายจ่าย: ข้อมูลจากการสำรวจสะท้อนว่า ครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อยยังมีปัญหา รายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย อย่างรุนแรง ซึ่งหมายถึงความสามารถในการชำระหนี้ยังไม่ดีขึ้น
- นัยยะต่อภาคธุรกิจ: สถานการณ์นี้มีผลกระทบโดยตรงต่ออุปสงค์ในประเทศ (Domestic Demand) เนื่องจากอำนาจซื้อของผู้บริโภคลดลง ธุรกิจที่พึ่งพาการบริโภคจึงต้องเตรียมรับมือกับยอดขายที่ชะลอตัว และพิจารณาความเสี่ยงด้าน หนี้เสีย (NPL) ที่อาจสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

2.วิกฤตจากภายนอก: US Shutdown, ภาษี และกระแสเงินทุนโลก
แรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาถือเป็นปัจจัยเสี่ยงระดับมหภาคที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แม้ผลกระทบโดยตรงจะถูกประเมินว่า “จำกัด” แต่ผลกระทบทางอ้อมมีความซับซ้อน
2.1 US Government Shutdown: ความผันผวนของตลาดการเงิน
- ธปท. ชี้กระทบจำกัด: ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่า หาก Government Shutdown ไม่ยืดเยื้อ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีน้อย และผลกระทบต่อไทยจะส่งผ่าน ความผันผวนในตลาดการเงิน เป็นหลัก โดยค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าลงเล็กน้อย
- ความเสี่ยงต่อ Fed: InnovestX เน้นย้ำว่า หาก Shutdown ยืดเยื้อ อาจกระทบต่อการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ (เช่น ตัวเลขการจ้างงาน) ซึ่งทำให้ Fed ขาดข้อมูลประกอบการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย ความไม่แน่นอนในนโยบายการเงินจึงเป็นความเสี่ยงที่กดดันตลาดโลก
2.2 แรงกดดันจากภาษีและการค้า
- มาตรการกีดกัน: หอการค้าไทยมีความกังวลสูงต่อ มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจกดดันการส่งออกไทย โดยคาดว่าการส่งออกอาจลดลง 1.26-1.93% ขึ้นอยู่กับผลการเจรจา
- สินค้าจีนทะลัก: ขณะเดียวกัน ไทยยังเผชิญกับ สินค้าจีนราคาถูกที่ไหลทะลักเข้ามา ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเพิ่มการแข่งขันด้านราคาท่ามกลางภาวะที่กำลังการผลิตในประเทศยังฟื้นตัวช้า ผู้ประกอบการไทยจึงถูกบีบจากทั้งตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ
3. ความขัดแย้งชายแดนและการเมืองภายใน: ปัจจัยซ้ำเติม GDP ปัญหาภายในประเทศทั้งสองส่วนนี้ เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้หอการค้าต้องปรับลด GDP ลง
3.1 ผลกระทบจากความตึงเครียดไทย-กัมพูชา
- การค้าชายแดนหยุดชะงัก: สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้มีการปิดด่านชั่วคราว มูลค่าการค้าชายแดนอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาทต่อวัน หากสถานการณ์ยืดเยื้อถึง 1 เดือน จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาท
- ความเสียหายเชิงยุทธศาสตร์: DEIIT วิเคราะห์ว่าในฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด หากความขัดแย้งยืดเยื้อและไทยสูญเสียตลาดบางส่วน มูลค่าความเสียหายอาจสูงถึง 150,000–170,000 ล้านบาท และไทยอาจสูญเสียตลาดกัมพูชาในบางสินค้าให้แก่คู่แข่งอย่างจีนหรือเวียดนามแบบถาวร
3.2 แรงกดดันจากความผันผวนทางการเมือง
- ศูนย์วิจัยซีไอเอ็มบีไทย ชี้ว่า ความผันผวนทางการเมือง ในช่วงครึ่งปีหลัง (2568) เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่กดดันเศรษฐกิจไทย
- ผลกระทบต่อการลงทุน: ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลที่มั่นคงหรือความไม่แน่นอนของนโยบาย อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนภาครัฐ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
